top of page
ค้นหา

6 สิ่งที่บอกว่านักเรียน open water พร้อมออกสอบภาคทะเลแล้ว

ช่วงหลายสิบปีก่อน การเรียนดำน้ำนั้นมีการเรียนการสอนที่ใช้เวลายาวนานกว่าปัจจุบันมาก ซึ่งในปัจจุบันด้วยตลาดที่มีการแข่งขันมากขึ้น การเรียนการสอนจึงถูกออกแบบให้ลดทอนเวลาลดลง เพื่อให้แข่งขันด้านต้นทุนได้ และอีกทั้งบุคคลทั่วไปจะเห็นข้อมูลด้านราคาเป็นหลัก ทำให้ความสนใจในการลงทุนในหลักสูตรเดียวกัน แต่ใช้เวลานานกว่า และราคาสูงกว่า เป็นที่ลดหายไปอย่างรวดเร็ว


การกำหนดมาตรฐานการฝึกทักษะในสระว่ายน้ำนั้น ทาง SSI กำหนดไว้ว่าควรใช้เวลา 16-32 ชั่วโมง และ total bottom time ในระหว่างการออกภาคปฏิบัติภาคทะเลนั้นต้องไม่น้อยกว่า 80 นาที (ประมาณ 20 นาที ต่อการดำน้ำหนึ่งไดฟ์) แต่ในทางปฏิบัติจริงถ้าหากมีการเรียนการสอนรวมกันทั้งหมดแค่ 3 หรือ 4 วัน นั้นถ้านักเรียนมีทักษะพื้นฐานดี ก็สามารถจบหลักสูตรได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานของหน่วยงานสถาบันรับรองการดำน้ำได้


ในส่วนของนักเรียนดำน้ำเองนั้นสามารถประเมินตนเองได้ง่ายๆ ว่าพร้อมแล้วที่จะออกปฏิบัติภาคทะเลหรือควรฝึกต่อในสระว่ายน้ำอีกซักหน่อยได้ง่ายๆ ดังนี้

  1. ไม่กลัวเมื่อน้ำเข้าหน้ากาก และสามารถเคลียร์น้ำออกจากหน้ากากได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด

    • เมื่อนำตัวเองไปอยู่ใต้น้ำแล้วนั้น จะต้องเข้าใจและยอมรับได้ว่าน้ำเข้าหน้ากากดำน้ำนั้นเป็นเรื่องปกติ และสามารถนำน้ำออกจากหน้ากากได้โดยง่าย ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องให้ต้องพะวงหรือระมัดระวังมากจนเกินไป เพราะการรัดหน้ากากแน่นจนเกินไปเพียงเพราะกลัวน้ำเข้าหน้ากากนั้น อาจทำให้เกิดการบีบหน้ากากเพราะแรงดัน และทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณใบหน้าและดวงตาแตงและทำให้เกิดการช้ำเลือดได้

    • การวิตกกังวลว่าน้ำเข้าหน้ากาก จะเป็นหนึ่งในสาเหตุของนักดำน้ำที่ตื่นกลัวหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หน้ากากหลุดออกจากหน้าหรือว่าน้ำเข้าหน้ากากตลอดเวลา

    • ความไม่รู้หรือไม่เคยได้ลองนำน้ำออกจากหน้ากากมาก่อนในสระว่ายน้ำ แต่เกิดในสถานการณ์จริงสามารถเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงได้

  2. ตีฟินได้อย่างถูกต้อง

    • การเคลื่อนที่ในน้ำนั้นต้องอาศัยการตีฟินอย่างมาก การใช้ฟินที่ถูกต้องนั้นจะทำให้นักดำน้ำเคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้อากาศน้อย มีเวลาสำรวจโลกใต้น้ำมากขึ้น

    • การตีฟินที่ไม่ถูกต้อง เช่นการตีฟินด้วยท่าปั่นจักรยาน หรือการใช้มือในการช่วยเคลื่อนที่ไปข้างหน้า จะทำให้นักดำน้ำใช้อากาศเปลืองเพราะใช้แรงมากกว่าปกติ ทำให้เหนื่อยใต้น้ำ เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ hypercapnia ได้

  3. ลอยตัวเป็นกลางในท่าดำน้ำได้

    • การฝึกลอยตัวที่ดำน้ำแบบนั่งขัดสมาธิ ไม่ใช่ท่าที่เป็นธรรมชาติและใช้สามารถใช้ได้จริงในการดำน้ำ เพียงแต่เป็นท่าที่ถูกคิดค้นขึ้นมาแต่อดีตกาล เพื่อให้ล็อคแขนล็อคขานักเรียนใช้ขณะฝึกการลอยตัว

    • นักเรียนควรสามารถปรับการลอยตัวเป็นกลางได้โดยไม่ต้องเริ่มจากก้นสระว่ายน้ำ และไม่ใช้แขนหรือฟินในการช่วยรักษาการลอยตัว

  4. ใช้น้ำหนักอย่างพอดีตัว

    • ถ้าหากคุณเป็นนักดำน้ำร่างเล็ก น้ำหนักตัวไม่มาก แต่ต้องใช้น้ำหนักตะกั่วถ่วงไว้มากมายเพื่อให้คุณนั่งนิ่งๆใต้น้ำ นั่นเป็นการจัดการน้ำหนักตะกั่วที่ผิดมาก เพราะจะทำให้เปลืองแรงอย่างมากและทำให้การลอยตัวที่ผิวน้ำและใต้น้ำเป็นเรื่องยากลำบากมากกว่าความรู้สึกสบาย

  5. เก็บสายอุปกรณ์เรียบร้อย

    • การเป็นนักดำน้ำที่ดีจะต้องมีระเบียบวินัยในการเก็บของอุปกรณ์ต่างๆให้เรียบร้อย การปล่อยปะละเลยให้สายเกจ หรือสายอากาศสำรองห้อยไปมา ทำให้มีโอกาสอุปกรณ์แกว่งไปมาเสียหาย หรือไปโดนสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ หรือทำให้ติดอยู่กับร่องหินใต้ทะเล หรือไม่สามารถหาใช้งานได้อย่างรวดเร็วในยามจำเป็น เช่นเช็คอากาศ หรือการแบ่งอากาศให้บัดดี้ ย่อมก่อให้เกิดผลลบมากกว่าผลดีทั้งนั้น

  6. การนั่ง คุกเข่า หรือยืน บนทรายหรือปะการัง

    • การเรียนการสอนที่เป็นไปตามลำดับที่ดี นักดำน้ำจะรู้ว่าการดำน้ำไม่มีการยืน คุกเข่า หรือนั่ง บนพื้นทรายหรือปะการัง เพื่อเป็นการดูแลรักษาธรรมชาติที่เราเข้าไปเยี่ยมชม เพราะการลอยตัวที่ดี นั้นเพียงพอสำหรับการสำรวจธรรมชาติแล้ว

การเรียนดำน้ำ ที่จะได้มีทั้งความปลอดภัย สนุก และมีสาระ จะต้องได้มาจากการสอนที่ดี ปูพื้นฐานความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งครูสอนดำน้ำมีหน้าที่ในการสอนทักษะเดี่ยวๆ และประเมินภาพรวมความพร้อมของนักดำน้ำแต่ละคนไป เพื่อให้เปิดโลกดำน้ำของคุณมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยสำหรับนักเรียนดำน้ำที่อยากประเมินตนเองว่าพร้อมออกภาคทะเลหรือไม่ สามารถประเมินตนเองหรือให้ผู้ฝึกสอนนั้นให้คำแนะนำก็ได้ ซึ่งการให้เวลาในสระมากกว่า ย่อมเป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการออกปฏิบัติภาคทะเลได้อย่างแน่นอน


ดู 1 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comentarios


bottom of page